ชาติพันธุ์มีเสียง: ชีวิต ความเชื่อ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของปกาเกอะญอ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในภาคเหนือที่มีชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากซึ่งมีวัฒนธรรม ภาษา และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญและมีจำนวนมากคือ “ปกาเกอะญอ” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่หลัก ๆ คือ ปกาเกอะญอ (Sgaw Karen) และ โปว์ (Pwo Karen) กลุ่มเหล่านี้อาศัยอยู่ตามแนวเทือกเขาสูงในหลายจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก และน่าน รวมถึงพื้นที่ในประเทศเพื่อนบ้าน

มูลนิธิกังหันลมในโครงการสร้างเสริมสุขภาวะและหนุนเสริมการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ที่มีภาวะเปราะบาง หรือ “Ethnic Youth Empowerment” ได้เข้าไปทำงานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เหล่านี้ เพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ได้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน สืบสานภูมิปัญญา และรักษาวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้อย่างภาคภูมิ

บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับปกาเกอะญอในมิติที่ลึกซึ้ง ทั้งในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความท้าทายในยุคสมัยใหม่ พร้อมทั้งบทบาทและแนวทางการสนับสนุนของมูลนิธิกังหันลมในพื้นที่เหล่านี้

ปกาเกอะญอ: กลุ่มชาติพันธุ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและภูเขา

ก่อนที่จะมีการกำหนด “พรมแดน” ทางการ ปกาเกอะญอเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเทือกเขาสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ชายแดนเกิดขึ้นตามฤดูกาลและความจำเป็น ไม่ได้ถูกแบ่งโดยเส้นบนแผนที่อย่างชัดเจน ดังนั้นปกาเกอะญอจึงเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่พบมากที่สุดในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก และน่าน

คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำเรียกรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ในบริบทของไทยมีสองกลุ่มหลักคือ ปกาเกอะญอ (Sgaw Karen) และ โปว์ (Pwo Karen) ทั้งสองกลุ่มมีภาษาพูด วัฒนธรรม และเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

หนึ่งในหัวใจของวัฒนธรรมปกาเกอะญอ คือ “ผ้าทอกี่เอว” ซึ่งเป็นผ้าทอด้วยมือที่หญิงสาวในชุมชนจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็ก ฝึกฝนจากแม่และย่าพร้อมกับการใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฝ้ายที่ปลูกเองและสีที่ได้จากเปลือกไม้หรือใบไม้ ผ้าทอกี่เอวไม่ได้เป็นเพียงเครื่องแต่งกาย แต่เป็นเรื่องเล่าของภูมิปัญญา ความอดทน และจิตวิญญาณที่ผูกพันกับผืนป่าและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง

วิถีชีวิตของปกาเกอะญอมีความเชื่อแบบแอนิมิสม์ (Animism) ที่นับถือผีบ้านผีเรือน เคารพต้นไม้ แม่น้ำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ การใช้ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความเคารพและระมัดระวังต่อธรรมชาติ เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม

แม้ว่าจะมีการนับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิกเพิ่มมากขึ้นในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แต่ปกาเกอะญอส่วนใหญ่ยังคงดำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณีและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพอเพียงไว้ได้อย่างเหนียวแน่น


เรื่องเล่าจากลวดลายผ้าทอ: ประวัติและความหมายทางวัฒนธรรม

ลวดลายผ้าทอกี่เอวของปกาเกอะญอสะท้อนเรื่องราวและความเชื่อที่ลึกซึ้ง หนึ่งในเรื่องเล่าที่ได้รับการเล่าขานกันคือเรื่องของหญิงสาวชื่อ “หน่อหมื่อเอ” ซึ่งถูกงูใหญ่ลากไปยังโพรงลึกและถูกบังคับให้ทอผ้าเจ็ดลาย เธอทอผ้าด้วยความหวังว่าจะเป็นสะพานกลับไปหาคนที่เธอรัก แม้ว่าสามีของเธอจะต้องสละชีวิตเป็นเครื่องบรรณาการก็ตาม

เรื่องเล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงนิทานพื้นบ้าน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความซื่อสัตย์ และการต่อสู้เพื่อความหวังในวิถีชีวิตของปกาเกอะญอ อีกทั้งลูกเดือยซึ่งเป็นอาหารหลัก ยังถือเป็นเครื่องรางที่ปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายและสัตว์ร้าย สื่อถึงความบริสุทธิ์และพลังแห่งการปกป้อง

เรื่องเล่าพื้นบ้านเช่นนี้เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้และสืบสานวัฒนธรรมที่มูลนิธิกังหันลมและโครงการ Ethnic Youth Empowerment ได้เข้าไปรับฟังและสนับสนุน เพื่อเชื่อมโยงความหลากหลายทางชาติพันธุ์สู่คนรุ่นใหม่ ผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่งดงาม


วิถีชีวิตและความสัมพันธ์กับธรรมชาติ

“ตัดต้นไม้อย่าตัดถึงต้น เหลือไว้ให้นกพญาไฟพักสักหนึ่งกิ่ง” — บทกวีของปกาเกอะญอที่บ่งบอกความเคารพต่อธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง

ชาวปกาเกอะญอมีความสัมพันธ์เชิงสมดุลกับธรรมชาติ เคารพป่าไม้และแหล่งน้ำที่เป็นเสมือนบ้านและแม่ที่ให้ชีวิต พวกเขาใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พึ่งพาการทำเกษตรปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ และเก็บของป่าที่หาได้ตามฤดูกาล

วิถีชีวิตแบบพอเพียงนี้แสดงถึงความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อระบบนิเวศและความยั่งยืน แม้ถูกมองจากภายนอกว่าเป็น “คนชายขอบ” แต่ชาวปกาเกอะญอแท้จริงแล้วเป็นผู้พิทักษ์ป่าผู้ใช้ชีวิตเคียงคู่ธรรมชาติอย่างสมดุล

พื้นที่เครือข่ายและการทำงานของมูลนิธิกังหันลม

มูลนิธิกังหันลมโดยโครงการ Ethnic Youth Empowerment ทำงานในพื้นที่หลายจังหวัดภาคเหนือที่มีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ เช่น

  • จังหวัดเชียงราย (บ้านห้วยขม)
  • จังหวัดตาก (ตำบลแม่อุสุ)

ในพื้นที่เหล่านี้ มูลนิธิร่วมมือกับชุมชน ผู้นำท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะและหนุนเสริมการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ กลุ่มเปราะบาง ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น

  • ค่ายสอนสิทธิเด็กและเยาวชน
  • การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม
  • การสร้างความตระหนักรู้เรื่องสิทธิเด็กและการปกป้องสิทธิในชุมชน
  • การพัฒนาทักษะอาชีพและการส่งเสริมการศึกษา

กิจกรรมเหล่านี้เน้นการเชื่อมโยงระหว่างความรู้ดั้งเดิมกับความทันสมัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ได้เติบโตอย่างเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจ และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนในโลกที่เปลี่ยนแปลง


ความสำคัญของการรักษารากเหง้าวัฒนธรรมร่วมสมัย

ในโลกที่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีเกิดขึ้นรวดเร็ว เด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเอกลักษณ์และภูมิปัญญาของตน

มูลนิธิกังหันลมเล็งเห็นว่าการส่งเสริมสิทธิในการเรียนรู้และการรักษาวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เด็กชาติพันธุ์สามารถเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ในสังคมไทยและโลกกว้างโดยไม่สูญเสียตัวตน

กิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การเรียนรู้การทอผ้า การเรียนรู้เรื่องเล่าพื้นบ้าน และการรักษาวิถีชีวิตแบบพอเพียง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เยาวชนได้เชื่อมโยงกับรากเหง้า พร้อมสร้างความภูมิใจในตัวเอง และเป็นรากฐานสำคัญในการส่งต่อให้คนรุ่นหลัง


การทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอไม่ใช่เพียงเรื่องของการพัฒนาด้านสุขภาพและการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเคารพและรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า

สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ รวมถึงสิทธิในการรักษาวัฒนธรรมของตนเอง ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และสังคมโดยรวม

มูลนิธิกังหันลมขอเชิญชวนทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงบทบาทของตนในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิของเด็กชาติพันธุ์ เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับทุกคน